ตั้งแต่ปี 2000ที่ผ่านมาเราหวาดกลัวกันว่า วาระสุดท้ายของโลกจะมาถึงแล้ว ผู้พยากรณ์อย่าง “นอสตราดามุส” ได้ทำนายไว้ว่าความวินาศจะเกิดขึ้นกับโบกมนุษย์ในช่วง 200 จาภัยธรรมชาติโดยเฉพาะเพมือใหญ่ๆที่อยู่ในซีกโลกตอนเหนือ แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด คลื่นทะเลยักษ์ จะคร่าชีวิตคนหลายล้านคน ฟังดูน่ากลัว โลกจะพินาศจริงหรือ แล้วมันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ และมีอะไรเป็นสัญญาณบอกเหตุล่วงหน้า และเราจะแก้ไขป้องกันได้อย่างไร?
อย่าเพิ่งเห็นว่าเป็นเรื่องของพระเจ้าหรือพระเยซูคริสต์ แต่ผมกำลังจะบอกให้ท่านๆทราบว่าพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์(Holy Bible)ได้ทำนายถึงวาระของโลกเราใบนี้ไว้อย่างไร ท่านลองอ่านช้าและพินิจพิเคราะห์ตามว่าจริงหรือเท็จ
ทุกข้อความในคัมภีร์ไบเบิ้ลบอกไว้อย่างชัดเจนว่าเป็นถ้อยคำที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้าซึ่งเขียนขึ้นเมื่อหลายพันปีมาแล้ว คัมภีร์ไบเบิ้ลได้กล่าวถึงวันสิ้นโลกอย่างละเอียด ซึ่งจะสรุปโดยย่อได้ดังนี้
“วันสิ้นโลก” หมายถึงยุคสุดท้ายที่พระเยซูจะเสด็จกลับมายังโลกครั้งที่ 2 (ครั้งแรกคือการที่พระองค์เสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์และพลีชีพบนไม้กางเขนเพื่อไถ่บาปมนุษย์เมื่อสองพันกว่าปีที่ผ่าน) ซึ่งพระคัมภีร์ได้ทำนายและบอกไว้ว่าจะมีเหตุการณ์สำคัญๆที่บ่งบอกให้เราทราบถึงวันสิ้นโลกหรือวันที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จกลับมาอีกครั้งดังนี้
1. ชนชาติยิวหรืออิสราเอลจะกลับคืนมามีประเทศอีกครั้งหนึ่ง
ชาวยิวหรือที่เรารู้จักกันในปัจจุบันคือประเทศอิสราเอลเป็นชนชาติที่พระเจ้าได้เลือกสรรไว้ที่จะไม่มีวันสิ้นชาติไปจากแผ่นดินโลก เราเห็นได้ว่าในประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้ว่า เมื่อ 586 ปีก่อนพระเยซูจะเสด็จลงมาเกิดนั้น ชนชาติยิวหลงลืมพรเจ้าและพระองค์ได้อนุญาตให้อาณาจักรบาบิโลนซึ่งรุ่งเรืองมากในสมัยนั้นยกทัพมาโจมรคกรุงเยรูซาเล็มและจับพวกเขาไปเป็นเชลย ในยุคต่อๆมาชาวยิวจึงแตกกระจัดกระจายไปตั้งถิ่นฐานอยู่ทั่วโลก(เหมือนม้งเราเลย) เมื่อ2000ปีก่อนพระเยซูได้ตรัสไว้ว่าเมื่อไรก็ตามที่ชนชาติอิสราเอลกลับคืนมรตั้งประเทศได้อีกที จะไม่มีใครสามารถทำลายพวกเขาได้อีก และเมื่อท่านเห็นเช่นนั้นเป็นสัญญาณตัวหนึ่งที่บ่งบอกว่าใกล้วันที่พระเยซูจะเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่งแล้ว
ทุกท่านอิสราเอลกลับคืนสู่ประเทศและสหประชาชาติรับรองเอกราชของประเทศนี้เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 1948 ว่าเป็นประเทศ เมื่อเริ่มแรกอิสราเอลมีพลเมืองไม่ถึง 1,000,000 คน (น้อยกว่าจังหวัดเชียงใหม่เราอีก)ได้ถูกกลุ่มอาหรับรังแกจนแทบจะตั้งตัวไม่ติด และแล้วในเดือนมิถุนายน 1967 อาหรับ 5 ประเทศซึ่งมีประชากรกว่า 200,000,000 คนได้รวมตัวกันสู้รบและทำสงครามกับอิสราเอลซึ่งมีประชากรไม่ถึงหนึ่งล้านคน ทำการสู้รบกับประเทศอาหรับ 5 ประเทศเป็นเวลา 7 วัน ผลปรากฎว่าอิสราเอลขยี้อาหรับจนสิ้นฤทธิ์ เครื่องบินทิ้งระเบิดของประเทศอียิปต์และซีเรีย 4,000 กว่าลำยังไม่ทันบินขึ้นจากสนามบินก็ถูกอิสราเอลทิ้งระเบิดถล่มยับเยิน แต่อาหรับยังไม่ท้อและเลิกโจมตีง่ายๆ ปี1972ในเช้าของวันหยุดทางศานาของอิสราเอลที่กองทัพอิสราเอลไม่ได้เตรียมตัวและตั้งตัวทันก็ถูกโจมตีจากอาหรับอีก(เหมือนหนังเรื่อง Pearl Harberเลย) คราวนี้ยืดเยื้อไปถึง 14 วัน แต่สุดท้ายอาหรับก็ต้องสยบยอมแพ้อีกเช่นเคย
ชนชาติอิสราเอลจะไม่มีใครทำลายได้ (แม้แต่ฮิตเลอร์ที่มีกองทัพเกรียงไกรและไล่เข่นฆ่าชาวยิวจนกองได้เป็นภูเขาๆ) นั่นเพราะพระเจ้าจะให้พวกเขากลับมาหาพระองค์ เมื่อเวลาที่พระเยซูคริสต์เสด็จกลับมาอีกครั้ง ทำไมอเมริกาและยุโรปมักจะอยู่ข้างอิสราเอลทุกครั้งที่เกิดปัญหาที่ตะวันออกกลาง นั่นเป็นเพราะเขาตระหนักดีว่าไม่มีใครจะปรบมือสู้รบกับประชากรที่พระเจ้าเลือกได้
2. เหตุการณ์ทางการเมือง
(จากพระธรรม มัทธิวบทที่ 24 ข้อ 6 – 7)
2.1 สงคราม
ก่อนวันที่พระเยซูจะเสด็จกลับมา ประเทศต่างๆในโลกจะมีการแย่งชิงอำนาจ และความเป็นใหญ่ โดยการทำสงครามกัน จะมีการเกลียดชัง และเอาเปรียบกันซึ่งนำไปสู่การสู้รบที่รุนแรง นับแต่วันที่พระเจ้าสร้างโลกใบนี้มา ไม่มีสงคราใดจะใหญ่โตเลย จนกระทั่ง
– ศตวรรษที่ 20 ก็ได้อุบัติสงครามโลกครั้งที่ 1 (ปี 1914 – 1917 ) และสงครามโลกครั้งที่ 2 (1939 – 1945) ปะทุขึ้น มีคนเสียชีวิตมากว่า 29,000,000 คน
– สงคราเกาหลี (1950 – 1953 ) และสงครามเวียตนาม (1968 – 1972) ได้คร่าชีวิตผู้คนมากกว่า 10,000,000 คน
ปัจจุบันมีการสู้รบกันประปรายในประเทศต่างๆทั่วโลกไม่น้อยกว่า 20 สงครามในทุกๆวัน
2.2 การรวมตัวกันของประชาชาติต่างๆ
เห็นได้จากการรวมตัวกันของสหภาพยุโรปหรืออียู (E.U. = Europe Union) เป็นการรวมตัวกันของ 11 ประเทศในยุโรป ไม่ใช่สิ่งที่เป็นปรากฎการณ์ใหม่หรือแปลกประหลาดอะไรเลย เพราะในพระคัมภีร์ในพระธรรมดาเนียลบทที่ 7 ข้อ 19และ 24 ได้ทนายไว้เกือบ 500 ปีก่อนสมัยที่พระเยซูคริสต์จะเกิดเสียอีก และในพระธรรมวิวรณ์บที่ 17 ข้อ 12 ได้ทำนายไว้หลังจากพระเยซูเสด็จขึ้นสวรรค์แล้ว 95 ปีไว้อย่างชัดเจนว่าจะมีประเทศต่างๆ 10 ประเทศซึ่งเคยรวมตัวกันเป็นจักรวรรดิ์โรมันในสมัยก่อนกลับมารวมตัวกันอีกครั้งก่อนที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จกลับมาครั้งที่สอง การรวมตัวนี้จะเกิดขึ้นเป็น 2 ช่วงคือ
– ช่วงที่ 1 เป็นการรวมตัวกันเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ซึ่งในปัจจุบันนี้ก็คือการประกาศใช้เงินสกุลยูโร(Euro)สกุลเดียวในช่วงปี 1999 ที่ผ่านมา (หรือแม้ASEANเราที่กำลังเป็นประเด็นพูดคุยกันอยู่ในปัจจุบัน ล่าสุดการประชุมคณะรัฐมนตรีต่างประเทศที่ประเทศกัมพูชาที่ผ่านมาก็ได้หยิบยกประเด็นนี้มาพูดอีกครั้งและมีการพูดถึงการใช้เงินสกุลอาเซียนเราด้วย)
– ช่วงที่ 2 จะมีการรวมตัวทางการเมืองคือ มียุโรปเดียว รัฐบาลเดียว ซึ่งในช่วงที่สองนี้กำลังมีการเจราจารายละเอียดอยู่ในขณะนี้ พระคัมภีร์ทำนายไว้ว่าจะมีการรวมตัวกันของ 10 ประเทศ นั่นหมายถึงอาจมีหนึ่งประเทศถอนตัวในอนาคตอย่างแน่นอน
3. เหตุการณ์ทางเศรษฐกิจ (จากพระธรรมมัทธิวบทที่ 24 ข้อ 7 )
3.1 เกิดการกันดารอาหารทั่วโลก
เมื่อปี 1800 ประชากรของโลกมีจำนวน 2,000,000,000 คน (สองพันล้านคน)ปี 1950 เพิ่มเป็น 3,000,000,000 คน (สามพันล้านคน)เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 1999 ประชากรโลกมี 6,000,000,000 คน (หกพันล้านคน) นักวิทยาศาสตร์ทำนายว่าอีก 50 ปีข้างหน้าน้ำมันเชื้อเพลิงจะหมดไปจากโลกนี้
ทุกวันนี้ประเทศเอธิโอเปียมีคนตายเพราะขาดอาหารวันละ 3,000 คน นักเศรษฐศาสตร์ทำนายว่าแต่ละวันประชากรโลก 2,000,000,000 คน(สองพันล้านคน)มีอาหารกินอิ่ม อีก 2,000,000,000 คน (สองพันล้านคน)มีอาหารกินอย่างเร้นแค้นและกินไม่อิ่ม ในขณะที่อีก 2,000,000,000 คน(สองพันล้านคน)ไม่มีแม้แต่จะกิน (ครบ 6,000,000,000 ล้านคนพอดี)
3.2 เกิดโรคระบาด (ในพระธรรมลูกาบทที่ 21 ข้อ 11และพระธรรมวิวรณ์บทที่ 6 ข้อ
ปัจจุบันโรคเอดส์ โรคอีโบล่า โรคฝีดาษลิง ล้วนแต่เป็นโรคสายพันธ์ใหม่ที่ยังไม่มียารักษาให้หายได้ โดยเฉพาะโรคเอดส์ที่เพิ่งค้นพบในปี 1982 ระยะเวลาอันสั้นแต่ปัจจุบันคนทั่วโลกติดเชื้อHIVนี้เข้าไปแล้ว 40,000,000 คน (สี่สิบล้านคน) ในจำนวนนี้ 1,500,000 คนเป็นเด็ก และในปี 1999ที่ผ่านมามีคนตายด้วยโรคเอดส์แล้ว 2,600,000 คน (ในขณะที่ประเทศไทยคาดว่าอีก 5 ปีข้างหน้าจะมีคนไทยติดเชื้อเอดส์ถึง 4,000,000คน)
4. เหตุการณ์ทางธรรมชาติ (จากพระธรรมมัทธิวบทที่ 24 ข้อ 7)
คัมภีร์ทำนายไว้ว่าจะเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ทั่วโลก ซึ่งจะคร่าชีวิตคนเป็นแสนๆทีเดียว ตลอด 20 ปีท่ผ่านมา ได้เกิดแผ่นดินไหวในอเมริกา ญี่ปุ่น จีน อินเดีย อัฟกานิสถาน ตุรกี ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ได้มีคนเสียชีวิตนับล้านคนและทรัพย์สินสูญหายมหาศาล ลำดับคร่าวๆได้ดังต่อไปนี้
– ปี ค.ศ. 1000 – 1008 มีแผ่นดินไหว 21 ครั้ง (ในช่วงระยะเวลา 800 ปี)
– ปี 1800 – 1900 มีแผ่นดินไหว 18 ครั้ง (เป็นเวลา 100 ปี)
– ปี 1900 – 1950 มีแผ่นดินไหว 33 ครั้ง (50 ปี)
– ปี 1950 – 1990 มีแผ่นดินไหว 93 ครั้ง (40 ปี)
– ปี 1990 – 1999 มีแผ่นดินไหว 103 ครั้ง (9 ปี)
หากสังเกตตัวเลขในวงเล็บจะพบว่า ระยะเวลายิ่งน้อยลงเท่าไหร่จำนวนของแผ่นดินไหวก็ทวีมากขึ้นเท่านั้น และทุกครั้งที่เกิดแผ่นดินไหว จะมีคนเสียชีวิตนับพันขึ้นไป
5. เหตุการณ์ทางสังคม (จากพระธรรมมัทธิว บทที่ 21 ข้อ 12)
5.1 ความรักความผูกพันจะเยือกเย็นลง (พระธรรมมัทธิวบทที่ 24 ข้อ 12 และ 2ทิโมธีบทที่3ข้อ 1 – 4 )
มนุษย์จะเห็นแก่ตัว ความเกลียดชังจะทวีขึ้น การให้อภัยกันแทบจะไม่มี ความโหดร้ายทารุณจะทวีความรุนแรงขึ้น เช่น การฆ่าล้างเผ่าพันธ์สมัยนาซี และที่ประเทศเขมร มนุษย์ดุร้ายเยี่ยงสัตว์เดรัจฉาน
5.2 ความรักทำให้ครอบครัวมั่นคงกำลังเสื่อสลาย
สถิติรวมทั่วโลกมีการหย่าร้าง 50%ต่อปี โลกต้องสูญเสียเงินจำนวน 25,000,000 บาท(ยี่สิบห้าล้านบาท)ต่อปีในการทำแท้ง
6. เหตุการณ์ทางฟ้าอากาศ (จากพระธรรมมาระโก บทที่ 13 ข้อ 24 -25)
ใกล้วันที่พระเยซูคริสต์จะกลับมาท้องฟ้าจะแปรปรวน ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาวจะไม่ส่องแสง ลมฟ้าอากาศจะทำให้ฤดูกาลเปลี่ยนไป
7. ความรู้มนุษย์จะทวีคุณ (จากพระธรรมดาเนียลบที่ 12 ข้อ 4)
7.1 ความรู้ทางวิชาการ
ความรู้ของมนุษย์เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวทุกๆ 8 ปี ความรู้ที่ตีพิมพ์เป็นเล่มหนังสือนั้นเฉลี่ยแล้วปีละ 500,000 กว่าเล่ม ถ้าจะอ่านอย่างละเอียดต้องใช้เวลาถึง 1,0000000 ปีจึงจะอ่านจบ (แค่มหาลัยเชียงใหม่เดียวแต่ละปีมีวิทยานิพนธ์ไม่รู้กี่ร้อยกี่พันเล่มแล้ว) เทคโนโลยีและระบบComputorทำให้ความเป็นอยู่เปลี่ยนแปลงไปมาก เพราะความรู้ของมนุษย์ทวีคุณขึ้นอย่างรวดเร็ว มีคนกล่าวว่าเด็กชั้นประถมปัจจุบัน รู้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์มากกว่านักวิทยาศาสตร์เมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว
7.2 การสื่อสาร
เมื่อ 50 ปีที่แล้ว การส่งจดหมาย ระยะทาง 100 กิโลเมตรต้องใช้เวลา 7 วัน ปัจจุบันสามารถถ่ายทอดเนื้อหาหนังสือทางEncyclopedia 25 volumesประมาณ 35,000 หน้าโดยใช้เวลาเพียง 3 วินาทีทางอิเลคทริคส์เท่านั้น
7.3 การเดินทาง
ในสมัยจักรพรรดิ์ซีซาร์แห่งกรุงโรม (ซึ่งเคยเป็นอาณาจักรที่รุ่งเรืองที่สุดแห่งหนึ่งของมนุษย์โลก) และในสมัยสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก การเดินทางไม่ต่างกันเลย คือ ใช้ม้าหรือสัตว์เป็นพาหนะ แต่ปัจจุบันเครื่องบินเจ็ทรุ่นใหม่สามารถบินรอบโลกได้โดยใช้เวลาเพียง 80 วินาทีเท่านั้น (1นาทีกับอีก20วินาที) และยานอวกาศสามารถบินทะลุทะลวงอวกาศได้ถึงชั่วโมงละ 200,000 ไมล์ (ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า1 ไมล์เท่ากับ 3 กิโลเมตรครึ่งหรือเปล่า ไม่แน่ใจเหมือนกัน ใครชัวร์แชร์กันได้)
ทุกท่าน ท่านอาจเห็นว่านี่เป็นเรื่องเหลวไหล ชวนปวดหัวและตระหนกตกใจเปล่าๆ แต่ท่านลองพิจารณาดูว่าตลอดประวัติศาสตร์มนุษย์โลกที่ผ่านมาใช่อย่างที่คัมภีร์ไบเบิ้ลกล่าวไว้หรือเปล่า ท่านอาจพบว่าเรื่องของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ใน HOLY BIBLE เป็นเรื่องที่เหลวไหลและโกหกที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมาหรือเป็นเรื่องจริงที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมา อยู่ที่ตัวท่านเองครับ ถ้าเป็นเช่นนั้นบุรุษนามชื่อเยซูคริสต์ก็ต้องเป็นนักโกหกที่เก่งที่สุดในโลกเลยทีเดียว อย่างไรก็ตามพระเยซูคริสต์บอกว่า อย่าตระหนกหรือตกใจเลย เหตุการณ์เหล่านี้จำเป็นต้องเกิด และยังตรัสอีกว่า
“เราเป็นทางนั้นเป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีใครไปถึงพระบิดา(สวรรค์)ได้ นอกจากมาทางเรา”
ขอบคุณที่มาบทความ http://greatworld.allblogthai.com/31