หลายคนคงสงสัยกันว่า กระสือ มีจริงหรือไม่ อีกทั้งในยุคสมัยนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว ยังจะมี กระสือ อยู่อีกหรือ แต่ก็ยังมีคนพูดๆกันปากต่อว่าเคยเจอ แต่ก็ยังหาหลักฐานมาพิสูจน์ไม่ได้สักที หรือนี่จะเป็นเพียงความเชื่อหรือความงมงายเพียงเท่านั้น Horoscope.Mthai.com จึงอยากจะมาไขข้อข้องใจให้เพื่อนๆได้ทราบกันครับ เพื่อเป็นความรู้ต่อไป
กระสือ เป็นชื่อผีชนิดหนึ่งที่ถือว่าเข้าสิงในตัวผู้หญิงและชอบกินของโสโครก คู่กับ กระหัง ซึ่งเข้าสิงในตัวผู้ชาย
ความเชื่อ เกี่ยวกับ กระสือ
กระสือ เป็นผีชนิดหนึ่ง เชื่อกันว่าสิงสู่อยู่ในตัวของคนเพศหญิงซึ่งโดยมากมักเป็นยายแก่ ชอบรับประทานของสดคาว มักออกหากินกลางคืนและไปแต่หัวกับตับไตไส้พุง ส่วนร่างกายคงทิ้งไว้ที่บ้าน เวลาไปจะเห็นเป็นดวงไฟดวงโตมีแสงสีเขียวเรืองวามๆ
สำหรับใครคลอดลูกใหม่ กลิ่นสดคาวของเลือดจะชักนำให้ผี กระสือ มาและเข้าสิงกินตับไตไส้พุงของหญิงที่คลอดลูกหรือของทารกที่คลอดนั้น เหตุนี้ชาวบ้านจึงมักเอาหนามพุทราสะไว้ที่ใต้ถุนเรือนตรงที่มีร่องมีรู เพื่อป้องกันมิให้ กระสือ เข้ามา เชื่อกันว่า กระสือ กลัวหนามเกี่ยวไส้
นอกจากของสดของคาวแล้ว กระสือ ยังชอบรับประทานของโสโครกเช่นอุจจาระเป็นต้น เมื่อรับประทานแล้วเห็นผ้าของใครตากทิ้งค้างคืนไว้ก็เข้าไปเช็ดปาก ผ้านั้นจะปรากฏเป็นรอยเปื้อนดวงๆ ถ้าเอาผ้านั้นไปต้ม กระสือ จะรู้สึกปวดแสบปวดร้อนปากทนไม่ไหวจนต้องมาขอร้องไม่ให้ต้มต่อไป
การปราบ กระสือ
กระสือ นั้นเมื่อเจ็บจวนจะตายก็ไม่ตายง่ายๆ ต้องคายน้ำลายของตนถ่ายเข้าปากลูกหลานคนใดคนหนึ่งไว้ให้สืบทายาทเป็น กระสือ ต่อก่อน ตนจึงจะตายได้โดยไม่ต้องทุกข์ทรมานอีกต่อไป
การปราบ กระสือ นั้น ไม่สามารถไล่ผีที่มาสิงสู่ออกจากร่างเหยื่อได้ ว่ากันว่าวิญญาณนั้นได้หยั่งลึกลงในใจของคนๆ นั้นแล้ว ฉะนั้น การปราบ กระสือ ก็เท่ากับต้องฆ่าคน ๆ นั้นไปเลย
ลักษณะของกระสือ
กระสือในรูปแบบที่คนไทยส่วนใหญ่รู้จัก คือ เป็นผีผู้หญิงแก่ที่ล่องลอยไปพร้อมกับหัวและไส้และอวัยวะส่วนอื่น เช่น หัวใจ, ปอด และเรืองแสงได้เรือง ๆ แต่ทว่าตามนิยามของ เสฐียรโกเศศ แล้ว กระสือเป็นเพียงผีผู้หญิงแก่ที่มีเพียงหัวกับแสงเรือง ๆ เท่านั้น ไม่มีไส้หรืออวัยวะส่วนอื่นใด ซึ่งที่ของกระสือที่มีหัวกับไส้หรืออวัยวะส่วนอื่น ๆ แบบที่คุ้นเคยกันนั้น มาจากภาพวาดของ ทวี วิษณุกร ที่แต่งเติมเอาจากจินตนาการในใบปิดภาพยนตร์เรื่อง กระสือสาว
กระสือในต่างประเทศ
ในแถบมาเลเซียยังมีเรื่องของผีที่มีลักษณะคล้ายกระสือของไทยด้วย เรียก ผีฮันตูปินังกาลัน โดยมีเรื่องเล่าว่า ครอบครัวหนึ่งประกอบไปด้วย พ่อ แม่ ลูก วันหนึ่งในตอนกลางคืน ผู้เป็นพ่อได้ออกไปธุระข้างนอกบ้าน ผู้เป็นแม่ปิดประตูอยู่ในห้อง แล้วนางก็หยิบเอาขวดน้ำมันมนต์มาทารอบคอ สักพักหัวกับตัวของนางก็แยกออกจากกันโดยมีตับไตไส้พุงห้อยติดออกมาด้วย เวลาที่ออกหากินจะเห็นเป็นแสงสีเหลือง ผู้เป็นลูกได้แอบเห็นดังนั้นจึงลองเอาน้ำมันมนต์ของแม่มาลองทาดูบ้าง ขณะที่หัวกำลังจะแยกออกจากตัว เด็กน้อยเกิดกลัวจนร้องโวยวายออกมาว่า ช่วยด้วย หัวของฉันกำลังจะหลุดออกจากตัวแล้ว จนชาวบ้านละแวกนั้นได้ยินกันทั่ว แต่ไม่มีใครกล้าเยี่ยมหน้าเข้ามาให้ความช่วยเหลือ จนกระทั่งหัวของผู้เป็นแม่ลอยกลับมา เสียงร้องโวยวายก็เงียบลง หลังจากวันนั้น ครอบครัวนั้นก็ย้ายหนีไปจากที่นั่น และไม่มีใครได้พบเห็นอีกเลย
นอกจากนั้นที่ญี่ปุ่นก็มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับปีศาจที่สามารถถอดหัวหากินได้ในเวลากลางคืน ซึ่งซามูไรผู้กล้าผู้หนึ่งที่เลิกจากการเป็นซามูไรแล้ว ได้บวชเป็นพระธุดงค์ผ่านไป หัวหน้าปีศาจในร่างมนุษย์ก็ได้นิมนต์ให้ไปพักที่บ้าน ในเวลากลางคืนพระก็ตื่นขึ้นมากลางดึก ขณะผ่านไปยังห้องที่เหล่าปีศาจนอนกันพบว่า ทั้งหมดเป็นร่างที่ไม่มีหัวแล้ว พระตามไปดูนอกบ้าน พบเป็นหัวปีศาจ 3-4 หัวล่องลอยไปมา ใช้ลิ้นตวัดกินมดปลวกตามพื้น และคุยกันว่าจะกินพระในเวลาก่อนรุ่ง พระเลยลากเอาร่างที่ไร้หัวเหล่านั้นไปซ่อนไว้ เมื่อปีศาจกลับไปดูที่บ้านไม่พบทั้งพระและร่างของตัวเองเลยตกใจและโกรธจัด ทั้งหมดได้รุมทำร้ายพระ แต่ไม่อาจทำอะไรพระได้ เพราะพระเคยเป็นซามูไรมาก่อน ก็ตายลงเมื่อถึงเวลาเช้า ต่อมา มีโจรผู้หนึ่งได้ขอซื้อหัวปีศาจนี้จากพระ โจรหวังจะใช้หัวปีศาจนี้หลอกผู้คนเอาเงิน แต่ต่อมากลัวปีศาจจะมาเอาคืน เลยทำสุสานฝังให้ ว่ากันว่าสุสานแห่งนี้ยังมีปรากฏจนถึงทุกวันนี้
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านนะครับ Horoscope.Mthai.com ต้องการนำเสนอเป็นความรู้เท่านั้น
ขอบคุณข้อมูลจาก wikipedia
ขอบคุณภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
(เป็นภาพที่ใช้ประกอบเท่านั้น ไม่ใช่ภาพเหตุการณ์จริง)