คำว่า โอม หมายถึงการเรียกขานพระนามของ 3 มหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ ในหนังสือบางเล่ม จะสลับความหมายไปมา บ้างก็ว่า อะ คือพระวิษณุ บ้างก็ว่า มะ คือพระศิวะ สลับไป สลับมา แต่ละเล่มก็เลยเขียนไม่เหมือนกันเลย ขอผู้อ่านได้โปรดจำให้ขึ้นใจ จะได้ไม่สับสนนะครับ
คำว่า โอม ยังสามารถแยกออกเป็นคำๆ ซึ่งมีที่มาโดยการเปล่งเสียงแต่ละคำของมหาเทพได้อีกดังนี้
1. ตัว อะ ออกจากพระพักตร์ทางทิศเหนือของมหาเทพ
2. ตัว อุ ออกจากพระพักตร์ทางทิศตะวันตกของมหาเทพ
3. ตัว มะ ออกจากพระพักตร์ทางทิศใต้ของมหาเทพ
4. ตัว . (พินทุ) ออกจากพระพักตร์ทางทิศตะวันออกของมหาเทพ
5. เสียง นาท (เสียงที่มนุษย์ไม่สามารถได้ยินและเข้าใจได้) ออกจากกลางพระพักตร์ของมหาเทพ
เมื่อท่านผู้ศรัทธาเดินผ่านเทวาลัย หรือมหาเทพองค์ใดๆ ควรพนมมือขึ้นเพื่อทำความเคารพ และให้เอ่ยคำว่า โอม สั้นๆเพียงคำเดียว ฉะนั้นในบทสวดมนต์ของเทพทุกองค์ในศาสนาพราหมณ์ จะขึ้นต้นด้วยคำว่า โอม และในรูปวาดมหาเทพเกือบทุกรูป จะปรากฏเครื่องหมาย โอม อยู่ส่วนใดส่วนหนึ่งในภาพ ซึ่งเครื่องหมาย โอม อันศักดิ์สิทธิ์นี้ ปรากฏคู่กับเครื่องหมาย พินทุ เสมออันจะเป็นเครื่องหมายที่นำความปรารถนา สุขสมหวังมาให้สามารถขจัดอุปสรรคทั้งหลายให้หมดสิ้น และชี้นำเหล่าโยคีไปสู่ปรีชาญาณ ข้าพเจ้าขอน้อมสักการะเครื่องหมายโอมอันศักดิ์สิทธิ์นี้….จะขอพร จะกราบหรือกระทำสิ่งใดก็ตามแต่ ให้เอ่ยคำว่า โอม เสมอหัวใจหลักของศาสนาเลยทีเดียว!!อักขระ โอม เกิดจากการเรียกพระนามของพระตรีมูรติทั้ง 3 รวมกันเป็นคำเดียว ซึ่งแยกได้ดังนี้
พระศิวะ อะ มาจากเสียงสุดท้ายของคำว่า พระศิวะ (อะ)
พระวิษณุ อุ มาจากเสียงสุดท้ายของคำว่า พระวิษณุ (อุ)
พระพรหม มะ มาจากเสียงสุดท้ายของคำว่า พระพรหมมะ (มะ)
อย่างไรก็ตามในการใช้ โอม แทนคำว่า สาธุ ก็จะถูกต้องตามหลักศาสนาพุทธ ดังนั้น โอม เป็นพยางค์ศักดิ์สิทธิ์ เป็นคำที่ถูกเอ่ยถี่ที่สุด ในการสวดมนต์ทุกบทของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูให้เอ่ยคำว่า โอม
ขอบคุณข้อมูลจาก